สำนักสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู ติดต่อให้รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล นักวิจัยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)จากมหาวิทยาลัยนเรศวร วิจัยเพื่อหาหารตกค้างของสารเคมีทางการเกษตรในพื้นที่ และความสัมพันธ์ของสารเคมีเหล่านี้กับการเกิดโรคเนื้อเน่า พบว่าเกษตรกรใช่สารเคมีหลายชนิด ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเสตอาทราซีน และอามิทรีน ในการกำจัดวัชพืชในแปลงของไร่ยางพาราและไร่อ้อย
พาราควอต คือ สารเคมียอดนิยม และใช้กันอย่างเข้มข้นมากกว่าฉลากที่ระบุถึง 4 เท่า โดยผสมสารพาราควอต 400 มิลลิลิตรกับน้ำ 20 ลิตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงมาก ทำให้เกิดการตกค้างของสารเคมีในระดับความเข้มข้นสูง จนก่อให้เกิดอันตรายได้ พบว่าพื้นที่ของจังหวัดหนองบัวลำภูมีผู้ป่วยด้วยโรคเนื้อเน่าเป็นอันดับ 1 ของผู้ป่วยแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลหนองบัวลำภู ตั้งแต่ปี 2553-2556 ปีละ 100-140 คน ทำให้พิการหรือเสียชีวิตเกือบร้อยละ 10 ของผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามักมีการสัมผัสกับน้ำในลำน้ำ นาข้าว หรืออ่างเก็ยน้ำเป็นเวลานาน หลายรายมีบาดแผลที่แขน ขา จากการทำงานและไปล้างตัวในแหล่งน้ำที่รองรับสารเคมีทางการเกษตร ทำให้เกิดโรคขึ้น โดยอาการเริ่มแรกนั้น มักเกิดขึ้นภายใน 1-2 วัน มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง คัน และเกิดแผลไหม้บริเวณผิวหนังที่สัมผัส ร่วมกับอาการเป็นไข้สูง ซึ่งต้องนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
นอกจากนี้ ผู้ป่วยหลายรายต้องถูกตัดอวัยวะขา หรือแขนเพ่อรักษาชีวิตไว้ โดยทางแพทย์ได้วินิจฉัยถึงการเป็นโรคที่มาจากแบคทีเรีย เป็นสาเหตุหลักซึ่งอยู่ในกลุ่มของแบคทีเรียชนิดไม่ใช้อากาศ เช่น Bacteroides fragilis, Clostridium sp., Peptostreptococcus sp. Streptococcus sp. และแบคทีเรียชนิดใช้อากาศ เช่น E.Coli, Enterbacter, Klebsiella ซึ่งรวมถึงแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยมักพบในแหล่งน้ำจืด
จากการวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในตัวอย่างสิ่งแวดล้อม ยืนยันได้ว่าตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทั้งดิน ตะกอนดิน ลำน้ำ และอ่างเก็บน้ำที่นำมาตรวจสอบมีการตกค้างของสารพาราควอตในทุกตัวอย่าง และอยู่ในระดับความเข้มข้นที่สูง
จากผลการวิจัยนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู ได้มอบนโยบายเกษตรอินทรีย์ยั่งยืนที่ได้ดำเนินการมาแล้วใน 58 ชุมชน โดยใช้ศาสตร์ของพระราชา ในการปลูกพืช ปลอดสารเคมีมาใช้ควบคู่กัน ในการแก้ปัญหาโรคจากสารเคมีทางการเกษตร
ที่มา : นิตยสารหมอชาวบ้าน
ลงข้อมูลวันที่ 12 มกราคม 2561