ผลการศึกษาพฤติกรรมการบริจาคโลหิตของผู้ที่มาบริจาคโลหิต ณ ศูนย์การโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พบว่าประเทศไทยมีผู้บริจาคโลหิตไม่ถึง 1% ของประชากร ขณะที่ประเทศพัฒนามี 5-10% ผลวิจัยพบคนไทยบริจาคเพราะกุศลจิตเป็นหลัก ทำแล้วได้กุศล มีความสุข ระบุศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ต้องจัดหาโลหิตให้ได้วันละประมาณ 1,600 – 2,000 ยูนิต หรือ 46,500 ยูนิตต่อเดือน จึงเพียงพอที่จะจ่ายให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ
ในการประชุมวิชาการงานบริการโลหิตระดับชาติ ครั้งที่ 21 ประจำปี 2556 ดร.สิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล อาจารย์ประจำคณะภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นำเสนอผลการศึกษา เรื่อง “พฤติกรรมการบริจาคโลหิตของผู้ที่มาบริจาคโลหิต ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย” ว่า การศึกษาครั้งนี้เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พฤติกรรมการบริจาคโลหิต เหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจมาบริจาคโลหิต เจตคติต่อการบริจาคโลหิต และปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริจาคโลหิตของผู้บริจาคโลหิตที่มาบริจาคโลหิต ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โดยเก็บข้อมูลด้วยการสอบถามเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากการสอบถามผู้ที่เข้ามาบริจาคโลหิตระหว่างเดือนสิงหาคม – ตุลาคม 2555 จำนวน 981 คน
ผลการศึกษพบว่า ผู้บริจาคโลหิตเฉลี่ยปีละ 2 ครั้ง อายุเฉลี่ย 33.84 ปี ร้อยละ 80.40 เป็นผู้บริจาคที่เคยมาบริจาคแล้ว ร้อยละ 61.26 ให้เหตุผลในการบริจาคครั้งแรกว่ามาด้วยกุศลจิตและเหตุผลที่กลับมาบริจาคอีกครั้ง ร้อยละ 65.44 รายงานว่ามาด้วยกุศลจิตเช่นกัน ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างมีเจตคติทางบวกต่อการบริจาคโลหิต โดยมีความเชื่อว่าการบริจาคได้กุศลและมีความสุขจากการบริจาค ร้อยละ 61.26 รายงานว่าไม่ต้องการสิ่งของตอบแทน รองลงมาร้อยละ 22.94 ต้องการผลการทดสอบเลือด ซึ่งผลการศึกษานี้สามารถนำไปกำหนดกลยุทธ์และเป้าหมายในการติดต่อสื่อสารกับผู้บริจาครายเก่าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริจาคกลับมาบริจาคให้ได้จำนวนครั้งมากกว่า 2 ครั้งต่อปี เช่นเดียวกับผู้บริจาครายใหม่ที่หากบริจาคอย่างต่อเนื่องในปีแรก ย่อมส่งผลให้คงพฤติกรรมการบริจาคต่อเนื่องยาวนานได้ นอกจากนี้ ผู้บริจาคเสนอแนะให้เน้นการประชาสัมพันธ์การบริจาคโลหิตในกลุ่มเยาวชนมากขึ้น
ดร.สิทธิพงศ์ นำเสนอด้วยว่า ปัจจุบันศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ต้องจัดหาโลหิตให้ได้วันละประมาณ 1,600-2,000 ยูนิต หรือ 46,500 ยูนิตต่อเดือน จึงเพียงพอที่จะจ่ายให้ผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งพบว่าปริมาณโลหิตยังขาดแคลนอยู่มาก โดยข้อมูลจากการศึกษาก่อนหน้า พบว่าประเทศที่พัฒนาแล้วมีผู้บริจาคโลหิตคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 5-10 ของประชากร ขณะที่ประเทศไทยมีผู้บริจาคโลหิตสัดส่วนยังไม่ถึงร้อยละ 1 ของประชากร การศึกษาจึงมุ่งศึกษาพฤติกรรมการบริจาคโลหิตและเหตุจูงใจในการบริจาคโลหิต เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาการขาดแคลนโลหิต